เคยได้รับใบกระดาษเล็ก ๆ จากนักทัศนมาตรหลังตรวจวัดสายตาเสร็จ แล้วสงสัยไหมว่าตัวเลขและตัวอักษรย่อปริศนาอย่าง SPH, CYL, AXIS เหล่านี้กำลังบอกอะไรเกี่ยวกับดวงตาของเรา? หลายคนอาจเก็บใบนั้นไว้โดยไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของมัน หรืออาจรู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้ซับซ้อนเกินกว่าจะทำความเข้าใจ
ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะบทความนี้จาก The Next Optical จะเปลี่ยนใบค่าสายตาที่ดูซับซ้อนให้กลายเป็นเรื่องที่คุณสามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ เราจะพาไปไขความลับของค่าสายตา ตั้งแต่ความหมาย ความสำคัญ ไปจนถึงวิธีอ่านค่าต่าง ๆ ด้วยตัวเอง เพื่อให้คุณเข้าใจสุขภาพดวงตาของคุณได้ดียิ่งขึ้น และสามารถพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญได้อย่างมั่นใจ
“ค่าสายตา” คืออะไร? ทำไมถึงมีเครื่องหมายลบและบวก?
ก่อนอื่น เรามาทำความเข้าใจหัวใจของเรื่องนี้กันก่อน “ค่าสายตา” (Prescription) คือ ชุดของตัวเลขที่บ่งบอกถึง “กำลังของเลนส์ (Lens Power)” ที่จำเป็นต้องใช้เพื่อชดเชยการหักเหของแสงที่ผิดปกติของดวงตา ทำให้แสงกลับมาโฟกัสบนจอประสาทตา (Retina) ได้อย่างพอดี ซึ่งส่งผลให้เรามองเห็นภาพได้คมชัดอีกครั้ง
โดยหลักการพื้นฐานที่แสดงผ่านเครื่องหมายบวกและลบนั้น เป็นการแก้ไขภาวะสายตาผิดปกติ (Refractive Errors) ที่แตกต่างกัน ดังนี้:
ค่าลบ (-)
ใช้สำหรับแก้ไขภาวะสายตาสั้น (Myopia) เกิดจากตาโฟกัสแสงไว้ “ข้างหน้า” จอประสาทตา ทำให้มองวัตถุระยะไกลไม่ชัด แต่มองใกล้ได้ปกติ คนที่มีสายตาสั้นมักจะสังเกตได้ว่าต้องหยีตาเมื่อมองวัตถุไกล ๆ เช่น ป้ายรถเมล์ หรือตัวหนังสือบนทีวี การใช้เลนส์เว้า (Concave Lens) ที่มีกำลังเป็นลบ จะช่วยกระจายแสงให้ไปตกบนจอประสาทตาได้อย่างพอดี
ค่าบวก (+)
ใช้สำหรับแก้ไขภาวะสายตายาว (Hyperopia) เกิดจากตาโฟกัสแสงไว้ “ข้างหลัง” จอประสาทตา ทำให้การมองใกล้ไม่ชัดเจน และในบางกรณีที่ค่าสายตายาวสูง อาจต้องเพ่งตลอดเวลาจนปวดหัวแม้มองไกล ในขณะที่คนสายตายาวอาจจะไม่มีปัญหากับการมองไกลในตอนแรก แต่จะรู้สึกตาล้า ปวดหัว หรืออ่านหนังสือได้ไม่นานก็รู้สึกไม่สบายตา การใช้เลนส์นูน (Convex Lens) ที่มีกำลังเป็นบวก จะช่วยรวมแสงให้ตกบนจอประสาทตาได้เร็วขึ้น
ภาวะสายตาเอียง (Astigmatism)
นอกจากการมองไกล-ใกล้แล้ว ยังมีเรื่องของความคมชัดที่อาจถูกลดทอนจากภาวะสายตาเอียง ซึ่งเกิดจากความโค้งของกระจกตาไม่สม่ำเสมอ ทำให้มองเห็นภาพเป็นเงาซ้อน หรือเห็นแสงไฟตอนกลางคืนเป็นแฉก ๆ ซึ่งจะถูกระบุไว้ในค่าสายตาเป็นค่าเฉพาะแยกต่างหาก
ขั้นตอนการวัดค่าสายตามีอะไรบ้าง?
ค่าสายตาที่แม่นยำเหล่านี้ไม่ได้มาโดยบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ที่ได้จากกระบวนการตรวจวัดที่เป็นระบบและอาศัยความเชี่ยวชาญของนักทัศนมาตร เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและเหมาะสมกับดวงตาของแต่ละบุคคลที่สุด โดยขั้นตอนหลัก ๆ ที่คุณจะได้พบเมื่อมาตรวจวัดสายตา มีดังนี้
- การซักประวัติ (History Taking): ขั้นตอนนี้สำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้นักทัศนมาตรเข้าใจไลฟ์สไตล์ของคุณ เช่น คุณทำงานหน้าคอมพิวเตอร์วันละกี่ชั่วโมง มีกิจกรรมกลางแจ้งหรือไม่ ปัญหาการมองเห็นที่พบเจอคืออะไร และมีโรคประจำตัวหรือประวัติสุขภาพตาในครอบครัวหรือไม่
- การตรวจเบื้องต้น (Preliminary Tests): เป็นการประเมินการทำงานของดวงตาเบื้องต้น เช่น การทดสอบการทำงานของกล้ามเนื้อตา และอาจมีการวัดค่าสายตาเริ่มต้นด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ (Autorefractor) เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานก่อนทำการตรวจอย่างละเอียด
- การวัดค่าสายตาอย่างละเอียด (Subjective Refraction): เป็นขั้นตอนที่คุณจะได้ลองเลนส์ค่าต่าง ๆ ผ่านเครื่องมือที่เรียกว่า Phoropter นักทัศนมาตรจะถามคำถาม เช่น “เลนส์คู่ไหนชัดกว่ากัน” เพื่อหาค่าสายตาที่ทำให้คุณมองเห็นได้คมชัดและสบายตาที่สุด ซึ่งขั้นตอนนี้ต้องอาศัยทั้งประสบการณ์ของผู้ตรวจและการตอบสนองของผู้ถูกตรวจ
- การตรวจสุขภาพตาเบื้องต้น (Eye Health Check): นักทัศนมาตรจะใช้อุปกรณ์พิเศษเพื่อประเมินสุขภาพส่วนหน้าและส่วนหลังของดวงตา เพื่อคัดกรองความเสี่ยงของโรคตาต่าง ๆ
ถอดรหัส ใบค่าสายตาแต่ละช่องหมายถึงอะไร?
ตอนนี้ เรามาถึงส่วนที่น่าสนุกที่สุด คือการถอดรหัสใบค่าสายตาของคุณกัน โดยปกติแล้วจะประกอบไปด้วยคำย่อและตัวเลขดังนี้
- OD / R และ OS / L:
- OD (Oculus Dexter) หรือ R (Right) หมายถึง “ตาขวา”
- OS (Oculus Sinister) หรือ L (Left) หมายถึง “ตาซ้าย”
- SPH (Sphere): คือค่าสายตาสั้น (-) หรือยาว (+) ที่เป็นกำลังเลนส์หลัก มีหน่วยเป็นไดออปเตอร์ (Diopter หรือ D) โดยค่าสายตาจะเพิ่มขึ้นทีละ 0.25 D ซึ่งเป็นขั้นที่ละเอียดที่สุดในการเปลี่ยนแปลงของเลนส์ ยิ่งตัวเลขห่างจากศูนย์มาก แสดงว่ามีค่าสายตามาก เช่น -3.00 D คือมีสายตาสั้นมากกว่า -1.00 D
- CYL (Cylinder): คือค่า “สายตาเอียง” ซึ่งเป็นค่ากำลังเลนส์ที่จะมาแก้ไขการมองเห็นที่เป็นเงาซ้อน หรือภาพบิดเบี้ยว หากช่องนี้ว่างหรือมีคำว่า “SPH” หรือ “DS” อยู่ แสดงว่าคุณไม่มีสายตาเอียง
- AXIS (แกนองศา): คือแกนองศาของสายตาเอียง มีค่าตั้งแต่ 1 ถึง 180 องศา ลองจินตนาการว่าดวงตาที่มีสายตาเอียงมีรูปร่างเหมือน “ลูกรักบี้” แทนที่จะเป็น “ลูกบอล” ที่กลมสนิท ค่า CYL จะบอกว่า ‘ความเบี้ยว’ ของลูกรักบี้มีมากแค่ไหน ส่วนค่า AXIS จะบอกว่าลูกรักบี้นั้น ‘วางตัว’ อยู่ในทิศทางไหนนั่นเอง
- ADD (Addition): คือค่ากำลังเลนส์สำหรับอ่านหนังสือหรือมองใกล้ ที่จะ “บวกเพิ่ม” เข้าไปจากค่าสายตามองไกล ค่านี้จะเหมือนกันทั้งสองข้างเสมอ และจะปรากฏในใบค่าสายตาของผู้ที่มีอายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป ที่เริ่มมีภาวะสายตายาวตามวัย (Presbyopia) เพื่อใช้ในการตัดเลนส์สองชั้น (Bifocal) หรือเลนส์โปรเกรสซีฟ (Progressive)
- PD (Pupillary Distance): คือระยะห่างระหว่างจุดกึ่งกลางรูม่านตาทั้งสองข้าง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร (mm) เป็นค่าที่สำคัญอย่างยิ่งยวดในการประกอบแว่น หากค่า PD ผิดพลาดไป อาจทำให้เกิดอาการปวดหัว เวียนศีรษะ หรือรู้สึกเหมือนถูกดึงตาได้ เพราะจุดโฟกัสของเลนส์ไม่ตรงกับรูม่านตาของคุณ
ตัวอย่างการอ่านใบค่าสายตา
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น ลองมาดูใบค่าสายตาตัวอย่างนี้ แล้วอ่านไปพร้อม ๆ กัน
SPH |
CYL |
AXIS |
ADD |
|
OD/R |
-2.50 |
-0.75 |
180 |
+2.00 |
OS/L |
-2.25 |
+2.00 |
PD: 64 mm
จากตารางนี้ เราสามารถอ่านค่าได้ดังนี้:
- ตาขวา (OD): มีสายตาสั้น -2.50 ไดออปเตอร์, มีสายตาเอียง -0.75 ไดออปเตอร์ ที่แกนองศา 180, และมีค่ากำลังเลนส์สำหรับอ่านหนังสือเพิ่มเข้ามาอีก +2.00 ไดออปเตอร์
- ตาซ้าย (OS): มีสายตาสั้น -2.25 ไดออปเตอร์, ไม่มีค่าสายตาเอียง (เนื่องจากช่อง CYL และ AXIS ว่างเปล่า), และมีค่ากำลังเลนส์สำหรับอ่านหนังสือ +2.00 ไดออปเตอร์
- ระยะห่างรูม่านตา (PD): คือ 64 มิลลิเมตร
เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถอ่านใบค่าสายตาของตัวเองเบื้องต้นได้แล้ว!
คำถามที่พบบ่อย
Q: ค่าสายตาสามารถลดลงได้เองไหม?
A: โดยทั่วไปแล้ว ค่าสายตาสั้นมักจะไม่ลดลงเองตามธรรมชาติ แต่อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามวัยและพฤติกรรมการใช้งาน การตรวจวัดสายตาเป็นประจำจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการติดตามการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงค่าสายตาให้เป็นปัจจุบันเสมอ
Q: ใช้ใบค่าสายตาสำหรับแว่น ไปตัดคอนแทคเลนส์ได้เลยไหม?
A: ไม่ได้ เนื่องจากคอนแทคเลนส์จะแนบไปกับกระจกตาโดยตรง จึงต้องมีการวัดค่าเพิ่มเติม เช่น ความโค้งของกระจกตา และอาจมีการปรับค่าสายตาเล็กน้อยให้แตกต่างจากแว่นตา จึงจำเป็นต้องใช้ใบค่าสายตาสำหรับคอนแทคเลนส์โดยเฉพาะ ซึ่งได้มาจากการ fitting คอนแทคเลนส์เท่านั้น
Q: ใบค่าสายตามีวันหมดอายุหรือไม่?
A: แม้จะไม่มีวันหมดอายุที่ระบุชัดเจน แต่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ตรวจวัดสายตาใหม่ทุก 1-2 ปี เนื่องจากค่าสายตาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การใช้ใบค่าสายตาเก่านานเกินไปอาจทำให้ได้แว่นที่ไม่เหมาะสมกับสายตาปัจจุบันและส่งผลเสียต่อสุขภาพตาได้
Q: ทำไมค่าสายตาที่วัดจากร้านแว่นแต่ละที่ไม่เท่ากัน?
A: เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนอาจมีเทคนิคในการวัด ที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจทำให้ได้ค่าสายตาที่ไม่ตรงกันได้ นอกจากนี้ยังรวมถึงปัจจัยอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น สภาพร่างกายในวันนั้น (ความเหนื่อยล้า, การอดนอน), เทคนิคและประสบการณ์ของนักทัศนมาตรในการทำ Subjective Refraction, และความแม่นยำของอุปกรณ์ที่ใช้
สรุป
การทำความเข้าใจใบค่าสายตาของตนเอง ไม่เพียงแต่ช่วยลดความสับสน แต่ยังช่วยให้คุณเป็นเจ้าของสุขภาพตาของตัวเองมากขึ้น และสามารถพูดคุยกับนักทัศนมาตรเกี่ยวกับความต้องการของคุณได้อย่างมั่นใจ ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่คือ “สูตรเฉพาะ” สำหรับดวงตาของคุณที่ได้มาจากกระบวนการตรวจวัดอย่างมืออาชีพ เพื่อมอบการมองเห็นที่คมชัดและสบายตาที่สุดให้กับคุณ
ดังนั้นสำหรับคนที่ไม่ได้วัดค่าสายตามาเป็นเวลานาน แนะนำว่าควรเข้าไปวัดสายตากับร้านแว่นตาที่มีจักษุแพทย์ นักทัศนมาตร และช่างแว่น อย่างร้านแว่นตา THE NEXT ครบจบผู้เชี่ยวชาญด้านสายตาและสุขภาพตา พร้อมให้บริการตรวจวัดสายตาที่ถูกต้องแม่นยำ ตรวจสุขภาพตา และตรวจคัดกรองโรคตา รับบริการได้กว่า 32 สาขาบนห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไทย ดูสาขาทั้งหมดได้ที่ https://www.thenextoptical.com/stores/