เคยไหมที่ต้องหยีตาเพื่อมองป้ายบอกทางไกล ๆ? หรือรู้สึกปวดหัว ตาพร่ามัว หลังจากจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน? อาการเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย แต่อาจเป็นสัญญาณเตือนจากร่างกายว่าถึงเวลาที่คุณต้องให้ความสำคัญกับการ “วัดสายตา“ อย่างจริงจังแล้ว
การมองเห็นที่ชัดเจนคือหัวใจสำคัญของการใช้ชีวิต แต่หลายคนกลับละเลยการดูแลดวงตาไปอย่างน่าเสียดาย เพราะเข้าใจว่าการวัดสายตาเป็นเรื่องไกลตัวหรือทำเมื่อรู้สึกว่าสายตาสั้นลงเท่านั้น บทความนี้จาก THE NEXT Optical จะพาคุณไปทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าการวัดสายตาคืออะไร,ทำไมถึงสำคัญ พร้อมแนะนำวิธีวัดสายตาด้วยตัวเองเบื้องต้น และตอบคำถามสำคัญว่าทำไมสุดท้ายแล้วเรายังต้องพึ่งพาจักษุแพทย์
- การวัดสายตาคืออะไร?
- ทำไมการวัดสายตาเป็นประจำจึงสำคัญอย่างยิ่ง?
- ต้องวัดค่าสายตาบ่อยแค่ไหน?
- How-To: วิธีวัดสายตาด้วยตัวเองในเบื้องต้นด้วย Snellen Chart
- ทำไมถึงจำเป็นจะต้องวัดสายตากับจักษุแพทย์?
- วัดสายตาอย่างละเอียดที่ THE NEXT ด้วยมาตรฐานการตรวจสายตาแบบครบวงจร “THE NEXT Steps 25 ขั้นตอน”
- สรุปบทความ
การวัดสายตาคืออะไร?
หลายคนอาจเข้าใจว่าการวัดสายตาคือการนั่งอ่านตัวเลขบนแผ่นชาร์ตเพื่อหาค่าสายตาสั้น-ยาว-เอียงเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง การวัดสายตาโดยผู้เชี่ยวชาญเป็นกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ละเอียดและครอบคลุมกว่านั้นมาก โดยมีเป้าหมายเพื่อประเมินระบบการมองเห็นทั้งหมด ซึ่งประกอบด้วย 2 ส่วนหลักคือ
1. การวัดความคมชัดและการหักเหของแสง (Visual Acuity & Refraction)
เป็นหนึ่งในกระบวนการหาค่าสายตา (Prescription) ที่แม่นยำที่สุด เพื่อแก้ไขภาวะสายตาผิดปกติ (Refractive Errors) ซึ่งเกิดจากการที่ดวงตาไม่สามารถโฟกัสแสงลงบนจอประสาทตาได้อย่างสมบูรณ์ ภาวะที่พบบ่อยได้แก่
- สายตาสั้น (Myopia): เกิดจากตาโฟกัสแสงไว้ “หน้า” จอประสาทตา ทำให้มองวัตถุระยะไกลไม่ชัด แต่มองใกล้ได้ปกติ
- สายตายาว (Hyperopia): เกิดจากตาโฟกัสแสงไว้ “หลัง” จอประสาทตา ทำให้มองใกล้ไม่ชัด และอาจต้องเพ่งตลอดเวลาจนปวดหัวแม้มองไกล
- สายตาเอียง (Astigmatism): เกิดจากความโค้งของกระจกตาไม่สม่ำเสมอ ทำให้มองเห็นภาพเป็นเงาซ้อน หรือเส้นตรงบิดเบี้ยวทั้งระยะใกล้และไกล
- สายตายาวตามวัย (Presbyopia): เกิดจากเลนส์แก้วตาเสื่อมสภาพตามวัย (มักเริ่มที่อายุ 40 ปีขึ้นไป) ทำให้ความสามารถในการโฟกัสระยะใกล้ลดลง
2. การตรวจสุขภาพดวงตา (Eye Health Examination)
นี่คือส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งและไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง เป็นการประเมินสุขภาพของส่วนต่าง ๆ ในดวงตาอย่างละเอียดโดยใช้อุปกรณ์เฉพาะทาง เพื่อคัดกรองความเสี่ยงของโรคตาที่อาจซ่อนอยู่ เช่น ต้อหิน, ต้อกระจก หรือภาวะเบาหวานขึ้นตา ซึ่งการตรวจพบโรคเหล่านี้ได้เร็ว คือกุญแจสำคัญในการรักษาการมองเห็นไว้ให้ได้นานที่สุด
ทำไมการวัดสายตาเป็นประจำจึงสำคัญอย่างยิ่ง?
การเข้ารับการตรวจวัดสายตาอย่างสม่ำเสมอเป็นหนึ่งในการลงทุนเพื่อสุขภาพที่ดีที่สุดที่คุณสามารถทำได้ และนี่คือเหตุผลสำคัญว่าทำไม
เพื่อค่าสายตาที่ถูกต้องและเป็นปัจจุบัน
ค่าสายตาของเราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การใส่แว่นที่ค่าสายตาไม่ตรง ไม่ว่าจะอ่อนไปหรือแรงไป ล้วนส่งผลเสียต่อระบบประสาทตา ทำให้กล้ามเนื้อตาต้องทำงานหนักเกินความจำเป็นจนเกิดอาการปวดกระบอกตา, ปวดศีรษะ, เวียนศีรษะ และโดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่อาจนำไปสู่ภาวะตาล้าจากคอมพิวเตอร์ (Digital Eye Strain) ได้ง่ายขึ้น
คัดกรองโรคตาที่ไม่มีอาการเตือน
โรคตาหลายชนิดน่ากลัวเพราะมันเป็น ‘ภัยเงียบ’ ที่ไม่แสดงอาการเจ็บปวดใด ๆ ในระยะเริ่มต้น ไม่ว่าจะเป็น
- ต้อหิน (Glaucoma): เกิดจากความดันในลูกตาสูงจนทำลายขั้วประสาทตาอย่างช้า ๆ การมองเห็นจะค่อย ๆ แคบลงจากด้านข้างโดยที่ผู้ป่วยไม่รู้ตัว จักษุแพทย์สามารถตรวจวัดความดันลูกตาเพื่อคัดกรองความเสี่ยงนี้ได้ก่อนที่การมองเห็นจะถูกทำลายอย่างถาวร
- เบาหวานขึ้นตา (Diabetic Retinopathy): ผู้ป่วยเบาหวานมีความเสี่ยงสูงที่เส้นเลือดในจอประสาทตาจะเสียหาย ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นได้ การตรวจตาจะช่วยให้พบความผิดปกติของเส้นเลือดเหล่านี้ได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
- ต้อกระจก (Cataracts): คือภาวะที่เลนส์แก้วตาขุ่นมัวลงตามวัย การตรวจจะช่วยประเมินระดับความขุ่นและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมได้
เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ชีวิตประจำวัน
การมองเห็นที่ชัดเจนส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพชีวิต สำหรับเด็ก การมองเห็นที่ดีคือพื้นฐานของการเรียนรู้ในห้องเรียน สำหรับผู้ใหญ่ หมายถึงการทำงานที่เปี่ยมประสิทธิภาพ การขับรถที่ปลอดภัยในเวลากลางคืน และการลดความเหนื่อยล้าหลังเสร็จสิ้นภารกิจในแต่ละวัน
เพื่อค้นหาสัญญาณเตือนของปัญหาสุขภาพอื่น
ดวงตาเปรียบเสมือนหน้าต่างของสุขภาพร่างกาย เพราะเป็นอวัยวะเดียวที่เราสามารถมองเห็นเส้นเลือดได้โดยตรงโดยไม่ต้องผ่าตัด การเปลี่ยนแปลงของเส้นเลือดในจอประสาทตาจึงอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของโรคทางกายอื่น ๆ เช่น โรคเบาหวาน, ความดันโลหิตสูง หรือแม้แต่ภาวะคอเลสเตอรอลสูง
ต้องวัดค่าสายตาบ่อยแค่ไหน?
การวัดค่าสายตาและการตรวจสุขภาพตาเป็นประจำมีความสำคัญ โดยแนะนำว่าควรวัดค่าสายตาทุก ๆ 6 เดือน เนื่องจากค่าสายตาสามารถเปลี่ยนได้ตลอดเวลา แต่สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อกำหนดความถี่ในการตรวจที่อาจบ่อยขึ้น
How-To: วิธีวัดสายตาด้วยตัวเองในเบื้องต้นด้วย Snellen Chart
สำหรับผู้ที่สงสัยว่าสายตาของตนเองเริ่มผิดปกติหรือไม่ การทดลองวัดสายตาเบื้องต้นด้วยตนเองก็จะช่วยให้คุณค้นพบความผิดปกติ และเข้าไปรับการดูแลจากจักษุแพทย์ได้อย่างรวดเร็ว
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
- แผนภูมิ Snellen Chart
- ตลับเมตร หรือสายวัด
- ห้องที่มีแสงสว่างเพียงพอและมีผนังเรียบ
- กระดาษแข็งหรือที่ปิดตา (ที่ไม่ใช่ฝ่ามือ)
ขั้นตอนการวัดสายตาด้วยตัวเองในเบื้องต้น
- ติดตั้งแผนภูมิ: นำแผนภูมิที่พิมพ์แล้วไปติดบนผนังเรียบ โดยให้แถวที่เป็นสัญลักษณ์ 20/20 อยู่ในระดับสายตาของคุณพอดี
- วัดระยะ: ใช้ตลับเมตรวัดระยะห่างจากผนังออกมา 6 เมตร (หรือประมาณ 20 ฟุต) แล้วทำเครื่องหมายตำแหน่งที่จะยืน
- ปิดตาหนึ่งข้าง: ยืนที่ตำแหน่งซึ่งวัดไว้ แล้วใช้กระดาษแข็งปิดตาทีละข้าง โดยระวังอย่าใช้มือกดลงบนดวงตาโดยตรง เพราะจะทำให้ตาพร่ามัวเมื่อเปิดออกมา
- เริ่มอ่าน: หายใจเข้าลึก ๆ แล้วเริ่มอ่านตัวอักษรบนแผนภูมิจากแถวบนสุดซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด ไล่ลงมาจนถึงแถวเล็กที่สุดที่คุณยังสามารถมองเห็นและอ่านได้อย่างชัดเจน
- บันทึกผล: จดบันทึกแถวสุดท้ายที่คุณอ่านได้ถูกต้อง (เช่น 20/40) จากนั้นสลับไปทำแบบเดียวกันกับตาอีกข้างหนึ่ง หากผลลัพธ์ของตาสองข้างต่างกัน ควรจดบันทึกไว้
วิธีอ่านผลเบื้องต้น
ผลลัพธ์จะอยู่ในรูปแบบของเศษส่วน เช่น 20/20, 20/40
- 20/20: ถือเป็นค่ามาตรฐานของคนสายตาปกติ หมายความว่า คุณสามารถมองเห็นวัตถุจากระยะ 20 ฟุต ได้ชัดเจนเหมือนกับที่คนสายตาปกติมองเห็นจากระยะ 20 ฟุต
- 20/40: หมายความว่า คุณต้องเข้ามาใกล้ถึงระยะ 20 ฟุต จึงจะมองเห็นวัตถุได้ชัดเจนเท่ากับที่คนสายตาปกติมองเห็นได้จากระยะ 40 ฟุต ซึ่งบ่งชี้ว่าคุณอาจมีภาวะสายตาสั้น หากผลของคุณต่ำกว่า 20/20 หรือตาสองข้างเห็นได้ไม่เท่ากัน นั่นเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าคุณควรนัดหมายเพื่อตรวจวัดสายตาอย่างละเอียดกับผู้เชี่ยวชาญ
*หมายเหตุ วิธีนี้เป็นการทดสอบ “ความคมชัดของการมองเห็น (Visual Acuity)” เบื้องต้นเท่านั้น ไม่สามารถใช้แทนการตรวจอย่างละเอียดกับจักษุแพทย์ และไม่สามารถนำผลที่ได้ไปใช้ตัดแว่นได้ เพราะขาดข้อมูลสำคัญอื่น ๆ เช่น ค่าสายตาเอียง, การทำงานของกล้ามเนื้อตา หรือสุขภาพตาโดยรวม
ทำไมถึงจำเป็นจะต้องวัดสายตากับจักษุแพทย์?
หลังจากทดลองด้วยตัวเองแล้ว หลายคนอาจสงสัยว่า “ในเมื่อทดสอบเองได้ แล้วทำไมยังต้องไปที่ร้านแว่นตาอีก?” ซึ่งคำตอบคือ การวัดสายตากับจักษุแพทย์มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากจักษุแพทย์เป็น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านดวงตา ที่ได้รับการฝึกอบรมทั้งด้านการวินิจฉัย รักษา และผ่าตัดโรคตา ทำให้สามารถดูแลสุขภาพดวงตาของคุณได้ครอบคลุมและลึกซึ้งกว่า
- ตรวจคัดกรองและวินิจฉัยโรคตา: จักษุแพทย์สามารถตรวจพบความผิดปกติหรือโรคตาในระยะเริ่มต้นได้ เช่น ต้อหิน ต้อกระจก จอประสาทตาเสื่อม หรือเบาหวานขึ้นตา ซึ่งปัญหาสายตาเพียงอย่างเดียวอาจไม่แสดงอาการที่ชัดเจน
- รักษาโรคตา: หากพบโรค จักษุแพทย์สามารถให้การรักษาทางการแพทย์ รวมถึงการผ่าตัด ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบวิชาชีพทางสายตาอื่น ๆ ทำไม่ได้
- เชื่อมโยงปัญหาสายตากับสุขภาพร่างกาย: ดวงตาเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย จักษุแพทย์สามารถประเมินและเชื่อมโยงปัญหาสายตากับโรคทางระบบ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือโรคทางระบบประสาทได้
- ให้คำแนะนำที่แม่นยำและครบวงจร: ไม่ใช่แค่การวัดค่าสายตาเพื่อตัดแว่น แต่เป็นการประเมินสุขภาพดวงตาโดยรวมและวางแผนการดูแลที่เหมาะสมในระยะยาว
ดังนั้น การวัดสายตากับจักษุแพทย์จึงเป็นการดูแลสุขภาพดวงตาอย่างครบวงจรและรอบด้านที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อโรคตา หรือมีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
วัดสายตาอย่างละเอียดที่ THE NEXT ด้วยมาตรฐานการตรวจสายตาแบบครบวงจร “THE NEXT Steps 25 ขั้นตอน”
ที่ THE NEXT เราเชื่อว่าสายตาที่ดีเริ่มต้นจากการตรวจอย่างละเอียดและแม่นยำที่สุด วันนี้เราพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ THE NEXT Steps 25 ขั้นตอน มาตรฐานการตรวจสายตาแบบครบวงจรที่ออกแบบมาเพื่อผลลัพธ์ที่ตรงจุดที่สุด โดยผู้เชี่ยวชาญและทีมจักษุแพทย์ประสบการณ์กว่า 30 ปี
ทำไมต้อง THE NEXT Steps 25 ขั้นตอน?
เพราะเราไม่ได้แค่ตรวจค่าสายตา เรา วิเคราะห์ทุกมิติของการมองเห็น ตั้งแต่สุขภาพตา สมดุลสายตา และความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน ทุกขั้นตอนนี้ออกแบบมาเพื่อให้คุณได้รับการดูแลที่ดีที่สุด เพราะเรามุ่งมั่นที่จะช่วยแก้ไขปัญหาการมองเห็นได้อย่างตรงจุด โดยมีขั้นตอนดังนี้
- ซักประวัติ เพื่อดูข้อมูลที่ส่งผลต่อการมองเห็น
- ตรวจค่า Sphere เพื่อประเมินว่าคุณสายตาสั้นหรือยาวมากน้อยแค่ไหน
- ใช้เครื่อง Auto Refractometer วิเคราะห์ความผิดปกติของสายตา
- Fogging ช่วยลดการเพ่งของดวงตา ให้ผลการตรวจสายตาชัดเจนที่สุด
- ตรวจ Binocular Balance เพื่อปรับสมดุลการมองเห็นระหว่างดวงตาทั้งสองข้าง
- ตรวจสุขภาพตาส่วนหน้า เพื่อมั่นใจว่าดวงตาของคุณยังแข็งแรงสมบูรณ์
- ตรวจการทำงานของดวงตาข้างถนัด
- ประเมินการรวมภาพด้วย Worth 4 Dot Test ให้มั่นใจว่าการมองเห็นสองตาสอดคล้องกัน
- ประเมินการกรอกตา
- ตรวจการรับรู้ภาพ 3 มิติ
- ตรวจ Cross Grid Test เพื่อตรวจหาภาวะสายตายาวตามวัย
- ตรวจค่าสายตาใหม่อย่างละเอียด เพื่อให้การมองเห็นของคุณสมบูรณ์แบบที่สุด
- ตรวจระยะอ่านหนังสือ
- การวัด NPC
- วัดค่าสายตาเอียงอย่างละเอียดทั้งในระดับเบื้องต้นและขั้นสูง เพื่อให้ทุกค่าสายตาที่ได้แม่นยำที่สุด
- วิเคราะห์ข้อมูลทั้งหมดและสรุปผลการตรวจ
- แนะนำกรอบและเลนส์แว่นตาที่เหมาะกับคุณที่สุด
และนี่ก็คือ มาตรฐานการตรวจสายตาแบบครบวงจรกับ THE NEXT Steps 25 ขั้นตอน ที่ร้านแว่นตา THE NEXT เราพร้อมดูแลสายตาคุณด้วยความใส่ใจ การันตี ความคมชัดสบายตา ทุกคู่ โดยทีมจักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเลนส์ ด้วยประสบการณ์ กว่า 30 ปี
สรุป
การวัดสายตาด้วยตนเองด้วย Snellen Chart เป็นวิธีวัดสายตาที่ช่วยให้คุณทราบได้ว่า ค่าสายตาของคุณเริ่มมีความผิดปกติหรือไม่ เพื่อเข้ารับการตรวจวัดสายตาอย่างละเอียดกับจักษุแพทย์ได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้น สำหรับคนที่วัดสายตาด้วยตัวเอง และพบว่ามีความผิดปกติ ร้านแว่นตา THE NEXT มีจักษุแพทย์ นักทัศนมาตร และช่างแว่นที่มีความเชี่ยวชาญ พร้อมให้บริการตรวจวัดค่าสายตาที่ถูกต้อง แม่นยำ เพื่อการมองเห็นที่ดีที่สุด โดยสามารถเข้ารับบริการได้กว่า 32 สาขาบนห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไทย ดูสาขาทั้งหมดได้ที่ https://www.thenextoptical.com/stores/